วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559

รวยหุ้นไม่ง้อเซียน สอนเล่นหุ้น สำหรับมือใหม่

รวยหุ้นไม่ง้อเซียน สอนเล่นหุ้น สำหรับมือใหม่

Briant K. Richard เจ้าของผลงานหนังสือ Best-Seller “Contrarian Investing” จะนำประสบการณ์การลงทุน มาปูพื้นฐานให้มือใหม่ เข้าสู่ตลาดหุ้นอย่างมั่นคง โดยจะสอนสามเรื่องหลักที่นักลงทุนจะต้องเข้าใจ

คลิ๊กที่นี่ => https://www.facebook.com/briantkrichard/
เรื่องที่ 1 Mindset ในการลงทุน 
วิธีคิดที่จะทำให้คุณเป็นหนึ่งใน 10% ของนักลงทุนในตลาดหุ้นที่ประสบความสำเร็จ

เรื่องที่ 2 Fundamental 
การวิเคราะห์มูลค่าของหุ้น เบื้องต้น โดยอ่านงบการเงิน และใช้ Fundamental Analysis (P/E, P/BV, Dividend Yield, ROE, ROA, Net Profit Margin, Business Strategy)

เรื่องที่ 3 Technical Analysis 
การวิเคราะห์ การขึ้นลง และจังหวะของการลงทุนเบื้องต้น โดยใช้ Technical Analysis (Chart Analysis ในเบื้องต้นเช่น Candlesticks, Line Chart, MACD, RSI, Volume)

ใครที่อยากจะเข้าสู่ตลาดหุ้นอย่างประสบความสำเร็จ ห้ามพลาดเด็ดขาด  





          เล่นหุ้นเริ่มต้นอย่างไร ใครกำลังเป็นมือใหม่หัดเล่นหุ้น ก่อนลงสนามจริงต้องศึกษาข้อมูลเบื้องต้นไว้ก่อนเลย


รู้จักสักนิด หุ้น คืออะไร 

          หุ้น (Stock) ก็คือตราสารทุนที่บริษัทนั้นออกและเสนอขายให้ประชาชนทั่วไป เพื่อระดมทุนนำเงินที่ได้ไปลงทุนในกิจการของบริษัทนั้น ทั้งนี้ เมื่อเราลงทุนไปในหุ้นของบริษัทใด เราจะมีฐานะเป็น "เจ้าของกิจการ" ของบริษัทนั้น ถ้าบริษัทดำเนินไปได้ดี เราก็จะได้กำไร แต่ถ้าบริษัทมีปัญหา เราก็ประสบปัญหาขาดทุนได้ นี่ก็คือความเสี่ยงที่ได้จากการลงทุนในหุ้น ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนในรูปแบบอื่น เช่น พันธบัตร หุ้นกู้ แต่ก็เป็นทางเลือกที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงเช่นกัน
ทำความเข้าใจกับขั้นตอนการเล่นหุ้น

          ไม่ว่าคุณอยากจะเล่นหุ้นเพื่อเก็งกำไร หรือลงทุนในหุ้นระยะยาว ก่อนจะก้าวเข้าสู่ตลาดหุ้นก็ต้องเริ่มจากขั้นตอนต่อไปนี้

1. เปิดบัญชีหุ้น


          การจะเล่นหุ้นได้ ขั้นแรกต้องเปิดบัญชีหุ้นเสียก่อน โดยยื่นเอกสารสมัครได้ที่บริษัทหลักทรัพย์ หรือที่นักลงทุนเรียกว่า "โบรกเกอร์" (Broker) ซึ่งมีอยู่หลายบริษัทให้เลือก (ตรวจสอบบริษัทหลักทรัพย์ทั้งหมดได้ที่นี่)

          แต่ถ้าใครมีบัญชีเงินเดือนอยู่ธนาคารไหน สามารถเข้าไปสมัครที่ธนาคารสาขาต่าง ๆ ได้เลย แล้วธนาคารจะส่งเรื่องต่อไปยังบริษัทหลักทรัพย์ของตนเองอีกที เช่น บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ของธนาคารกรุงเทพ, บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ของธนาคารกรุงศรีฯ

          นอกจากนี้ บางธนาคารยังสามารถสมัครทางออนไลน์ได้เลย เช่น บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ของธนาคารกสิกรไทย ฯลฯ ที่แค่กรอกข้อมูลและส่งเอกสารผ่านทางออนไลน์ก็สามารถเปิดบัญชีได้ โดยไม่ต้องไปสมัครถึงธนาคาร

สำหรับเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการสมัคร ทั่ว ๆ ไปก็คือ

           สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน

           สำเนาทะเบียนบ้าน

           สำเนาใบแจ้งรายการบัญชีผ่านธนาคาร หรือสำเนาสมุดคู่ฝากบัญชีออมทรัพย์ย้อนหลัง 6 เดือน

           ค่าอากรแสตมป์ 30 บาท

          อย่างไรก็ตาม ควรติดต่อสอบถามจากบริษัทหลักทรัพย์ที่คุณจะสมัครอีกครั้ง เพราะแต่ละแห่งเรียกขอเอกสารไม่เหมือนกัน และที่ต้องรู้อีกข้อก็คือ ผู้ที่จะเปิดบัญชีหุ้นได้ต้องมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปเท่านั้น ถ้าอายุต่ำกว่า 18 ปี ต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองก่อน

2. เลือกให้ดีจะเปิดบัญชีแบบไหน


          ในการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นนั้น เราต้องเลือกด้วยว่าจะเปิดบัญชีแบบบัญชีเงินสด (Cash Account), บัญชีเงินฝาก (Cash Balance) หรือบัญชีเงินกู้ยืม (Credit Balance Account) ซึ่งแต่ละบัญชีแตกต่างกันตามนี้
          จากข้อมูลข้างต้น มือใหม่ควรเปิดบัญชีแบบ บัญชีเงินฝาก (Cash Balance) มากที่สุด เพราะเราจะต้องโอนเงินเข้าบัญชีก่อน จึงจะซื้อหุ้นได้ในวงเงินที่เรากำหนดไว้เอง วิธีนี้จะช่วยให้เราไม่ซื้อหุ้นเกินวงเงินของตัวเอง ส่วนบัญชีเงินกู้ยืม (Credit Balance Account) นั้นไม่แนะนำ เพราะมือใหม่ยังขาดความรู้และประสบการณ์ในตลาดหุ้น เสี่ยงต่อการเป็นหนี้สูงมาก

3. ศึกษาโปรแกรม Streaming Pro สำหรับเล่นหุ้น


          เมื่อได้รับอนุมัติเปิดบัญชีแล้ว เราจะได้เลขที่บัญชี และรหัสผ่านเพื่อล็อกอินเข้าไปในหน้าเว็บของโบรกเกอร์ เมื่อเข้าไปแล้วเราจะรู้จักกับโปรแกรมที่ชื่อว่า Streaming Pro ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ให้เราใช้ส่งคำสั่งซื้อขายเรียลไทม์ สามารถใช้เองได้ไม่ยากเลย

4. ทำความเข้าใจคำศัพท์สำคัญในโปรแกรม Streaming Pro
          ในโปรแกรมจะมีคำศัพท์ภาษาอังกฤษอยู่หลายตัว แต่ศัพท์สำคัญที่เราจำเป็นต้องรู้ เพื่อใช้ในการส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นก็คือ

          Market จะเป็นส่วนแสดงข้อมูลภาพรวมของตลาดแบบเรียลไทม์

          Portfolio ส่วนแสดงพอร์ตการลงทุนของเรา ว่าได้กำไรหรือขาดทุนเท่าไร

          Account No. คือ หมายเลขบัญชีของเรา

          Credit Line คือ วงเงินอนุมัติจากทางบริษัท เราจะสามารถซื้อหุ้นได้ไม่เกินมูลค่า Credit ที่ปรากฏ

          Line Available คือ อำนาจซื้อที่แท้จริง ณ ขณะนั้น ๆ หมายถึงเราสามารถซื้อหุ้นได้เพิ่มเติมอีกไม่เกินมูลค่า Line ที่ปรากฏ เช่น หากโอนเงินเข้าบัญชี 10,000 บาท มูลค่า Line ตั้งต้นจะเท่ากับ 10,000 บาท เมื่อเราสั่งซื้อหุ้นไป 3,000 บาท มูลค่า Line จะถูกหักออก 3,000 บาท เท่ากับเรามีอำนาจซื้อเพิ่มเติมได้อีกไม่เกิน 7,000 บาท

           Cash  คือ มูลค่าเงินสดที่อยู่ในบัญชีของเรา ณ ขณะนั้น ซึ่งมูลค่านี้จะไม่อัพเดทแบบเรียลไทม์ เพราะกระบวนการชำระราคาในการซื้อขายหุ้นจะใช้เวลา 3 วันหลังการซื้อขาย (T+3) ดังนั้น หากซื้อหุ้นวันนี้ 20,000 บาท มูลค่า Cash จะยังไม่ปรับลดลงทันที แต่จะลดลงในวันที่ 3 หลังวันทำการ (T+3)

          ทั้งนี้ หากต้องการถอนเงินจากบัญชีหุ้น โดยโอนกลับเข้าบัญชีเงินเดือน ต้องรอให้ช่อง Cash อัพเดทเท่ากับ Line Available เสียก่อน จึงจะทำการถอนตามจำนวนที่ขายหุ้นออกไปได้ และเพื่อความสะดวกในช่วงเริ่มต้น แนะนำให้ใช้ บลจ.ธนาคารเดียวกับบัญชีเงินเดือนของคุณ จะสามารถระบุให้โอนเข้าบัญชีออนไลน์ได้ทันที

           T+3 คือ วันทำการที่ 3 นับจากวันซื้อขายหลักทรัพย์ โดยไม่นับรวมวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดของสถาบันการเงินตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น หากซื้อหุ้นวันศุกร์ ให้นับไปอีก 3 วันทำการ เงินจะตัดจากบัญชีในวันพุธ เช่นเดียวกับการขายหุ้น เงินจะเข้าบัญชีในอีก 3 วันทำการเช่นกัน

          ทั้งนี้ หากเป็น T+1, T+2 หรือตัวเลขอื่น ๆ ที่มักใช้ในการซื้อขายกองทุน ตัวเลขด้านหลังก็คือกี่วันทำการนั้น ๆ เหมือนกับ T+3

           Volume คือ ปริมาณของหุ้นที่ซื้อขาย หรืออธิบายง่าย ๆ ก็คือ จำนวนหุ้นที่ซื้อขายกันในวันนั้น

           Value คือ มูลค่าการซื้อขายของหุ้น หรือ ในวันนั้นมีการซื้อขายเป็นเงินเท่าไร

           Buy คือ ต้องการซื้อหุ้นเข้า Port ของเรา

           Sell คือ ต้องการขายหุ้นของเราออกไป

           Opened หรือ Queuing (SX) คือ คำสั่งซื้อขายที่รอการจับคู่ หรือมีการจับคู่ได้บางส่วนแต่ยังจับคู่ได้ไม่หมด

           Matched คือ คำสั่งซื้อขายได้รับการจับคู่แล้ว

           Approved คือ คำสั่งซื้อขายที่ไม่อนุมัติ อาจเกิดจากจำนวนเงินไม่เพียงพอในการซื้อขาย

           Bid คือ ราคาเสนอซื้อเข้ามาสูงสุด ณ ขณะนั้น

           Offer คือ ราคาเสนอขายเข้ามาสูงสุด ณ ขณะนั้น


เพื่อให้เข้าใจคำว่า Bid และ Offer ลองมาดูตัวอย่างกัน

หุ้น KTB (ธนาคารกรุงไทย)

          Bid คือราคาที่เสนอซื้อเข้ามาสูงสุด ณ ขณะนั้น โดยราคาสูงสุดอยู่ที่ 22.00 บาท มีคนรอซื้อราคา อยู่จำนวน 2,236,700 หุ้น (ตรงช่อง Volume) ส่วนคนที่รอซื้อราคา 21.90 บาท มีอยู่ 5,207,900 หุ้น

          หากเราต้องการซื้อหุ้น KTB ที่ราคา 22.00 บาท เมื่อเราเคาะราคาไป เราจะยังไม่ได้หุ้นในทันที เราต้องรอให้คนที่เสนอซื้อ 2,236,700 หุ้นก่อนหน้าเรา ซื้อได้หมดก่อน จึงจะถึงคิวของเรา

          * ข้อสังเกต เมื่อส่งคำสั่งซื้อ จะมีคำว่า Queuing ในขั้นตอนนี้หากส่งคำสั่งผิด สามารถ Can cell ได้ แต่หากมีคำว่า Match แล้วแสดงว่าคุณได้หุ้นตัวนั้นเรียบร้อยแล้ว ยกเลิกไม่ได้

          ส่วน Offer ราคาเสนอขายที่สูงสุด ณ ขณะนั้น อยู่ที่ 22.10 บาท มีคนรอขายจำนวน 8,532,700 หุ้น ส่วนราคา 22.20 บาท จำนวน 9,395,000 หุ้น ไล่เรียงกันไป

          ทั้งนี้ หากเราไม่อยากรอคิวซื้อที่ราคา 22.00 บาท เราอาจจะเสนอซื้อที่ราคา 22.10 บาท ซึ่งจะทำให้เราได้หุ้นทันที เพราะมีคนเสนอขายเราที่ราคา 22.10 บาทอยู่แล้ว จำนวน 8,532,700 หุ้น

สำหรับตัวหนังสือที่เป็นสีต่าง ๆ นั้นคือ


           สีเขียว แสดงว่าราคานั้นสูงกว่าราคาหุ้นที่ปิดตลาดเมื่อวาน

           สีแดง แสดงว่าราคานั้นต่ำกว่าราคาหุ้นที่ปิดตลาดเมื่อวาน

           สีเหลือง แสดงว่าราคานั้นเท่ากับราคาหุ้นที่ปิดตลาดเมื่อวาน

          ในที่นี้ หุ้น KTB ณ ขณะนี้ราคา 22.00 บาท บวกเพิ่มจากราคาปิดเมื่อวาน 0.20 บาท แสดงว่าเมื่อวานราคาปิดอยู่ที่ 21.80 บาท Volume คือ ปริมาณการซื้อขายในขณะนี้ อยู่ที่ 50,353,400 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า (Value) 1,109,668 ล้านบาท

5. โอนเงินเข้าบัญชีเพื่อเตรียมซื้อหุ้น

          สำหรับมือใหม่ อาจทดลองเล่นหุ้นด้วยเงินจำนวนไม่มากก่อน ซึ่งขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท ก็สามารถเล่นหุ้นได้ (โปรดตรวจสอบกับแต่ละบริษัทหลักทรัพย์ที่คุณสมัครก่อนอีกครั้ง ซึ่งเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่า "โบรกเกอร์")

จากนั้นทำตามขั้นตอนนี้

           5.1 โอนเงินเข้าบัญชีโบรกเกอร์ (ตรวจสอบเลขที่บัญชีได้จากโบรกเกอร์ที่สมัครไว้)

           5.2 เมื่อโอนเงินแล้วจะต้องแจ้งวันเวลาที่โอนเงิน จำนวนเงินที่โอนกับโบรกเกอร์ โดยสามารถโทรศัพท์แจ้งกับเจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์) ของโบรกเกอร์นั้น หรือแจ้งทางระบบอินเทอร์เน็ตก็ได้ (ขึ้นอยู่กับระบบของแต่ละโบรกเกอร์เอง)

           5.3 ตรวจสอบยอดเงินในโปรแกรม Streaming Pro ว่ายอดเงินตรงกับที่เราโอนเข้าไปหรือไม่

6. ทดลองซื้อขายหุ้น


          ถ้าเราคิดว่าตัวเองพร้อมแล้ว อยากลองเสี่ยงดู ก็เริ่มซื้อขายหุ้นได้เลย โดยอาจเลือกซื้อขายหุ้นในราคาต่ำ ๆ เช่น 1-5 บาท และปริมาณน้อย ๆ ก่อน โดยขั้นต่ำของการซื้อหุ้นแต่ละครั้งคือ 100 หุ้น เพื่อทดลองลงทุนดู แต่ถ้าใครยังกลัว ๆ ไม่กล้าเสี่ยง ก็ควรศึกษาปัจจัยต่าง ๆ หาความรู้ก่อนลงทุนจริง ที่รู้จักก็ไม่เปิดจอหุ้นคุยกันตอนพักเที่ยง เปลี่ยนไปเล่มเกมแทน ผมก็ถามว่า ทำไมไม่ดูหุ้น ไม่สนใจแล้วหรอ คำตอบที่ได้คือ "ติดดอย" อ่ะพี่ ซื้อแล้วมันก็ลง ไม่กล้าขายทิ้งกลัวขาดทุน ก็เลยต้องปล่อยทิ้งไว้รอมันขึ้นมาค่อยขาย กำไรที่เคยได้ก็หายไปหมด เซ็งเลยเลิกเล่นดีกว่า

อาการแบบนี้เขาถึงเรียกมือใหม่ที่เข้ามาในตลาดหุ้นว่า "แมลงเม่า" ไงครับ รู้ว่าเสี่ยงแต่อยากขอลองเพราะอยากรวย ก็เหมือนแมลงเม่าชอบกองไฟ บินเข้าไปก็เจอไฟเผาเกรียม ถ้าอย่างนั้นจะทำยังไงดีให้อยู่ตลาดได้นานๆ เป็นมนุษย์เงินเดือนเงินทุนน้อย แต่หัวใจเต็มร้อยอยากลงทุน งั้นลองอ่าน 10 ข้อ ต่อไปนี้ แล้วลองทำดูครับ เพื่อจะได้อยู่วงการนี้กันไปนานๆ

1. เตรียมเงินทุน
อันนี้แน่นอนถ้าไม่มีเงินก็เล่นหุ้นไม่ได้ ลองสำรวจตัวเองว่ามีเงินไหม ต้องเป็นเงินที่เราออมไว้นะครับ แบบว่าไม่คิดจะใช้จ่าย เพราะถ้าเงินไม่เย็นพอ จะลำบากครับ เพราะบางทีเราอาจติดหุ้นอยู่ กำลังจะได้กำไร หรือขาดทุนอยู่ แต่ต้องใช้เงินก้อนนี้ต้องจำใจขายหุ้นเพื่อเอาเงินสดออกมา ซึ่งทำให้เราสูญเสียโอกาส

2. ใช้เงินทุนน้อยๆ
แบบว่ายังมือใหม่ความรู้ก็ยังน้อย ประสบการณ์ก็ไม่มี โอกาสที่จะผิดพลาด ขาดทุนมีสูงครับ เพราะตลาดหุ้นเขาก็บอกอยู่แล้วว่ามีความเสี่ยงสูง ยังไงถ้าเกิดผิดพลาดไป จังหวะไม่ดี หุ้นที่ถืออยู่ขาดทุนขึ้นมา จะได้เจ็บตัวไม่เยอะครับ ทุนน้อยอย่าไปกลัวหรือท้อครับ เมื่อเราเข้าใจตลาดหุ้นดีพอก็ค่อยๆ เพิ่มทุนมากขึ้นก็ได้

3. เพิ่มความรู้ใส่สมอง
ในตลาดหุ้นมันต้องใช้ความรู้ ความเข้าใจ ถ้าใครเข้ามาแล้วเดาเอา ซื้อหุ้นอาศัยดวงและอารมณ์ล้วนๆ รับรองว่าอยู่ได้ไม่นานครับ และคนส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้น ขี้เกียจเรียนรู้ บอกหุ้นมาเดี๋ยวซื้อตาม ก็เพราะแบบนี้แหละครับถึงต้องออกจากวงการนี้ ก่อนเวลาอันควร เพราะฉะนั้นคุณจะต้องเรียนรู้ ไม่ว่าจะศึกษาจากการอ่านหนังสือ หาข้อมูลจากเวป หรือไปอบรม ก็แล้วแต่แบบไหนสะดวกก็จัดไป

4. ทดลองซ้อมข้างสนาม
แบบว่ายังไม่กล้าลองของจริง ก็ลองซ้อมเทรดแบบเปิดพอร์ตจำลอง ฝึกซื้อขายผ่านโปรแกรมให้เข้าใจก่อนว่าเขาซื้อขายกันอย่างไร สามารถเข้าไปที่เวป click2win ของทาง Settrade ลองฝึกดูถ้าชอบถูกจริตเรา ก็ไปลุยสนามจริง

5. ลงสนามจริง
เปิดบัญชี เปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ ลองของจริง เพื่อเก็บประสบการณ์ เพราะถ้ามัวแต่เรียนรู้ มัวแต่ดูอยู่ข้างสนาม มันก็จะเสียเวลานะ เพราะการลงสนามจริง เงินเราจริงๆ อารมณ์ ความรู้สึก มันจะต่างกันสิ้นเชิงกับแบบจำลอง ต้องลองแล้วคุณจะรู้และเข้าใจที่ผมพูด

6. ตั้งเป้าหมายให้ชัด
ว่าเราจะเป็นนักลงทุนระยาว เอาปันผล หรือระยะสั้น เก็งกำไร เพราะถ้ามั่วๆ เอา แบบนี้เดินทางสู่ความสำเร็จลำบาก เล่นหุ้นแบบไม่มีเป้าหมาย ก็ยากที่จะอยู่ได้นาน ลองคิดดูถ้าก่อนซื้อหุ้นคุณอยากจะเก็งกำไร แต่พอติดหุ้นก็เปลี่ยนใจถือยาวแล้วกัน หรือตัวที่คิดจะถือยาวพอเห็นกำไรนิดหน่อยก็ขายออกมาแล้ว มาแนวนี้ไม่ดีแน่นอน ลองค้นหา ตั้งเป้าหมายตัวเองให้ชัด จะเอาแนวไหนก็เลือกสักทาง

7. เตรียมใจให้พร้อม
เพราะเมื่ออยู่ในสนามจริง หุ้นมันจะวิ่งขึ้นวิ่งลง การควบคุมอารมณ์และจิตใจเป็นสิ่งสำคัญ ถึงแม้เราจะมีความรู้ที่ได้จากการอ่านมา พอลงสนามจริงเจอหุ้นวิ่งขึ้น วิ่งลง สิ่งที่ศึกษามาลืมหมด เห็นหุ้นลงหน่อยตกใจขายทิ้ง เพราะกลัวมันลงแรง ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงจุด stop loss ที่เราวางแผนไว้ หรือแม้แต่หุ้นที่เราซื้อมันวิ่งขึ้นได้กำไร ตั้งใจจะถือยาวๆ แต่อดใจไม่ไหว ขายออกมาก่อนเวลาอันควร แบบนี้ก็ไม่ดี ต้องฝึกควบคุมอารมณ์

8. สำรวจตัวเองสม่ำเสมอ
เป็นสิ่งสำคัญเมื่อคุณเล่นหุ้นไปสักพัก ลองถามตัวเองว่ายังชอบไหม เครียดไปหรือป่าว  บางคนอาจพึ่งรู้จักตัวเองว่าถือยาวแล้วสบายใจกว่าเก็งกำไร ทำให้เครียดน้อยลง แต่บางคนเริ่มต้นถือยาวแล้วน่าเบื่อ เก็งกำไรสนุกกว่า ก็ลองปรับกันดูครับ ตลาดหุ้นเขาไม่ได้ห้ามเปลี่ยนแนวทางการลงทุนครับ ค่อยๆ หาสไตล์ตัวเองให้เจอครับ เจอแล้วก็ลุยเต็มที่

9. รู้จักแบ่งเวลา
อย่าทำให้การเล่นหุ้นต้องกระทบกับเรื่องอื่นๆ เช่น กระทบกับงานประจำ เฝ้าหน้าจอตลอดจนไม่เป็นอันทำงาน หรือกระทบกับคนในครอบครัว คนรอบข้าง เพราะมัวแต่เฝ้าหน้าจอ มัวแต่หาหุ้น ดูข่าวหุ้นแทบทุกตัว จนไม่สนใจใคร แบบนี้ไม่ไหวนะครับ มารู้ตัวอีกที อ้าวคนรอบข้างหายไปไหนกันหมดแล้ว อย่าเคียดจนเกินไป ค่อยๆ เรียนรู้ เก็บประสบการณ์กันไป ตลาดหุ้นไม่ได้หนีไปไหน ใช้ชีวิตประจำวันกับการเล่นหุ้นควบคู่กันไปอย่างมีความสุข แบ่งเวลาให้ลงตัว ช่วงเวลาไหนที่เคยไร้สาระ ก็เอาเวลานั้นมาศึกษาเพิ่มเติม

10. ทำจนชิน
เมื่อเราเริ่มค้นหาสไตล์ตัวเองจนเจอ ก็ต้องมีวินัย ฝึกฝน เรียนรู้ อยู่ตลอดเวลา ตรงไหนที่ผิดพลาดก็กลับไปทบทวนใหม่ สำรวจตัวเองใหม่ หาข้อผิดพลาด ศึกษาเพิ่มเติม เพราะถ้าคุณหยุดพัฒนาตัวเอง คิดว่าตัวเองเก่ง ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จได้ ทำบ่อยๆ มันก็ชินไปเอง เดี๋ยวนี้ชีวิตผม มีเวลาก็จะอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนเป็นประจำ ผมชอบดูกราฟเทคนิค ก็จะเปิดเพื่อศึกษาหาจังหวะการลงทุนเป็นประจำ จนติดเป็นนิสัย และสนุกกับสิ่งที่ทำ 

ที่กล่าวมาทั้งหมดลองเอาไปปรับใช้ดูนะครับ ตลาดหุ้นไม่ได้น่ากลัว โหดร้ายอย่างที่คิด แต่ถ้ามัวแต่คิดไม่ลงมือทำ เรียนรู้อย่างจริงจังและเข้าใจ มันก็ยังเป็นเรื่องที่น่ากลัวและโหดร้ายสำหรับมือใหม่ที่เข้ามาหวังรวยอย่างเดียว โดยไม่มีความรู้อะไรเลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น